โรคมีเนีย menier’s disease
ลัยลา เป็นหญิงอายุ 48 ปี อาชีพรับราชการ
เธอสังเกตว่ามีเสียงดังในหูด้านขวาเหมือนจักจั่นหรือจิ้งหรีดร้องมานานประมาณ 1 เดือน
วันหนึ่งขณะที่เธอกำลังนั่งคุยกับเพื่อนร่วมงาน เธอมีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน
คลื่นไส้ อาเจียน เหงือออกและหูอื้อ ขณะที่เธอมีอาการเวียนศีรษะ
เธอรู้สึกคล้ายกับว่ามีแรงดันอยู่ภายในหูด้านขวาด้วย เธอจึงไปพบแพทย์ทางด้านหู คอ
จมูก ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
หลังจากได้รับการซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว แพทย์กล่าวว่า “คุณเป็นโรคมีเนีย (menier’s disease) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุ
แต่อาจพบได้ในคนที่เป็นโรคซิฟิลิสและคนที่เป็นโรคหูหนวก
โดยอาจจะเป็นที่หูข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ แต่ระยะแรกอาจจะเป็นที่หูข้างใดข้างหนึ่งก่อน
แต่เมื่อเป็นนานๆ จะมีโอกาสให้หูอีกข้างหนึ่งเป็นร่วมด้วย
สาเหตุของโรคนี้เกิดจากการที่ของเหลวซึ่งอยู่ภายในของเยื่อหุ้มหูชั้นใน
ในส่วนที่มีลักษณะคล้ายก้นหอยทำหน้าที่รับเสียงและส่วนอวัยวะรูปเกือกม้า 3 อัน ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวมีของเหลวคั่งมาก
การไหลเวียนจึงไม่สะดวก ทำให้เกิดแรงดันในหูชั้นในเพิ่มขึ้น
จนไปขัดขวางการทำงานของกระแสประสาทที่เกี่ยวกับการได้ยินและการทรงตัว
จึงสูญเสียการได้ยินและความสมดุลย์ ทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ
ยิ่งแรงดันเพิ่มสูงมากขึ้นเท่าใด ยิ่งทำให้หูข้างที่เป็นมีอาการเพิ่มมากขึ้น
แต่ถ้าเป็นเพียงชั่วคราวจะสามารถกลับมาได้ยินเสียงตามปกติได้ แต่ถ้าเป็นบ่อยๆ
และเป็นนานๆ จะเกิดอาการหูอื้ออย่างถาวร จนกระทั้งหูหนวกไปเลยก็ได้”
ลัยลาถามแพทย์ว่า “หูมีกี่ชั้นค่ะและถ้าจะให้หายขาดจากการเป็นโรคนี้จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้างคะ” แพทย์ตอบว่า “หูประกอบด้วย หูชั้นนอก หูชั้นกลาง และหูชั้นใน แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ส่วนที่เป็นกระดูก
และส่วนทีเป็นเยื่อหุ้มภายในโดยส่วนที่เป็นกระดูกห่อหุ้มส่วนที่เป็นเยื่อหุ้มภายในซึ่งมีของเหลวอยู่
การเกิดโรคมีเนียเกิดจากของเหลวอยู่ซึ่งอยู่ภายในคั่งมาก
เกิดการไหลเวียนไม่สะดวกจึงมีแรงดันเพิ่มสูงมากขึ้น
ดังนั้นหมอจะให้ยาขับปัสสาวะเพื่อลดการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นใน
ให้ยาลดอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
ให้ยากล่อมประสาทและยานอนหลับเพื่อช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สามารถนอนหลับได้เป็นปกติและให้ยาขยายหลอดเลือด
เพื่อช่วยลดอาการบวมและคั่งของน้ำในหูชั้นในเพื่อการรักษาโรคนี้
อย่างไรก็ตามยังคงมีความสำคัญในการปฏิบัติตัวเพื่อลดอาการของโรคโดยจะต้องลดอาหารเค็ม
งดชา กาแฟ สุรา บุหรี่ ลดภาวะเครียด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ”